วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

การเขียนประวัติศาสตร์การทหาร (11) : บริบทที่เปลี่ยนไปในศตวรรษที่ 19-20



ประวัติศาสตร์การทหารคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

บริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

การพัฒนาความคิดเรื่องเหตุผลและปรัชญาจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและยุครุ่งเรืองทางภูมิปัญญานำมาซึ่งการตั้งคำถามต่อความชอบธรรมของผู้ปกครองในการดำเนินนโยบายของรัฐ แนวคิดเรื่องความรับผิดชอบของผู้ปกครองที่มีต่อประชาชน และการตระหนักถึงสิทธิของประชาชน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในฝรั่งเศสและอังกฤษ แต่ได้เติบโตขึ้นในโลกใหม่โพ้นทะเลจากชัยชนะของฝ่ายอาณานิคมอเมริกาในสงครามประกาศอิสรภาพในปีค.ศ. 1783 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอเมริกานี้เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจต่อฝรั่งเศสในฐานะพันธมิตรของฝ่ายอาณานิคมอเมริกาถึงความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ระเบียบใหม่ที่ผู้ปกครองต้องปกครองตามเจตจำนงของประชาชน นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในปีค.ศ. 1789 และสงครามนโปเลียน

ภาพการบุกทลายคุกบาสติลล์อันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในกระบวนการยุติธรรม
(http://www.visit-and-travel-france.com/image-files/art-french-revolution.jpg)


การปฏิวัติฝรั่งเศสนี้ได้ลุกลามกลายเป็นสงครามการปฏิวัติจากการประกาศสงครามของบรรดารัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต่อฝรั่งเศส เพื่อล้มล้างระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นใหม่และฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ มิให้แนวคิดสาธารณรัฐประชาธิปไตยแพร่หลายเป็นภัยคุกคามต่อชนชั้นปกครองในรัฐอื่น ทำให้ฝ่ายฝรั่งเศสต้องเรียกเกณฑ์ทหารจำนวนมากจากประชาชนทั้งประเทศ (Levée en Masse) เพื่อสร้างกองทัพต่อต้านภัยคุกคาม ซึ่งวิธีการนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ตอกย้ำเรื่องชาติและแนวคิดเรื่องชาตินิยมที่จะเกิดขึ้นและกลายเป็นแนวคิดหลักของสังคมในเวลาต่อมา การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของสงครามด้วย จากสงครามที่จำกัดพื้นที่และการปิดล้อมที่ดำเนินโดยกองทัพของราชวงศ์ไปสู่สงครามที่เน้นการเคลื่อนที่ทางยุทธศาสตร์อย่างรวดเร็วและการรบขั้นเด็ดขาดโดยกองทัพประชาชนและการสงครามแบบนโปเลียน

 กระบวนการเรียกเกณฑ์ทหารจำนวนมากเป็นยุทธวิธีสำคัญที่ทำให้กองทัพฝรั่งเศสสามารถฟื้นตัวขึ้นจากการสูญเสียกำลังในช่วงการปฏิวัติในเวลาอันรวดเร็ว และสามารถต้านทานการรุกรานจากกองทัพของรัฐรอบข้างได้ทันท่วงที
(https://publishistory.files.wordpress.com/2013/10/levee-en-masse.jpg)

นอกจากปัจจัยทางการเมืองแล้ว ปัจจัยทางเศรษฐกิจก็มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้วย นั่นคือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในอังกฤษช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 กระตุ้นให้เกิดการผลิตสินค้าจำนวนมากและเกิดการบริโภคนิยมในกลุ่มชนชั้นกลาง และกระตุ้นให้เกิดการศึกษากับการรับรู้ข่าวสารที่แพร่หลายจากการผลิตหนังสือและวารสารจำนวนมากด้วยระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรม นำมาซึ่งสำนึกของผู้คนที่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองและปรารถนาจะเห็นสังคมที่ดีขึ้น ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ทั้งระหว่างชนชั้นและระหว่างแนวคิดทางการเมือง ขณะเดียวกัน งานเขียนประวัติศาสตร์การทหารก็ได้อานิสงส์จากระบบการผลิตจำนวนมากนี้ด้วย

เครื่องสูบน้ำออกจากเหมืองของโทมัส นิวโคแมนเป็นเครื่องจักรไอน้ำที่บุกเบิกเทคโนโลยีปฏิวัติอุตสาหกรรมหลังจากเทคโนโลยีกังหันน้ำก่อนหน้า
(http://img.posterlounge.de/images/wbig/prisma-dampfmaschine-von-thomas-newcomen-1712-220665.jpg)

ในเวลาต่อมา เทคโนโลยีเครื่องจักรไอน้ำได้ผลักดันขีดความสามารถการผลิตสินค้าได้มากขึ้นกว่าเทคโนโลยีกังหันน้ำก่อนหน้า ทำให้การผลิตสินค้าง่ายขึ้นและผลิตได้ปริมาณมากขึ้นแบบทวีคูณ รวมทั้งระบบการขนส่งด้วยรถจักรไอน้ำทำให้สามารถขนส่งและกระจายสินค้าได้ครั้งละมาก ๆ ด้วย ระบบการผลิตสินค้าและการขนส่งภาคพลเรือนก็ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทางทหารอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามในเวลาเพียงร้อยปีทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เช่น เทคโนโลยีการผลิตปืนไรเฟิลคาบศิลาซึ่งเดิมทีกระบวนการคว้านลำกล้องทำได้ลำบากและผลิตได้ปริมาณจำกัดในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 สามารถผลิตได้จำนวนมากในช่วงทศวรรษที่ 1840-1860 พร้อมกับกระสุนมิเย่ (Minié ball) ที่บรรจุได้ง่ายกว่าและยิงได้แม่นยำกว่ากระสุนลูกกลมแบบเดิม และการพัฒนาปลอกกระสุนโลหะแทนซองกระดาษชุบไขมันในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อใช้กับกลไกปืนแบบใหม่ที่ใช้ระบบเข็มแทงชนวน ทำให้ปืนเล็กประจำทหารมีอานุภาพรุนแรงขึ้น แม่นยำขึ้น ยิงได้ต่อเนื่องมากขึ้น และใช้งานได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการประดิษฐ์ปืนกลหมุนลำกล้อง แกตลิ่ง ที่ยิงกระสุนได้ครั้งละมาก ๆ และปืนใหญ่บรรจุท้ายลำกล้องเกลียวสมัยใหม่ที่ยิงได้ต่อเนื่องและแม่นยำกว่าปืนใหญ่ลำกล้องเรียบดั้งเดิม ส่งผลให้รูปแบบยุทธวิธีการรบแบบเรียงหน้ากระดานแบบคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนถึงสงครามกลางเมืองอเมริกาไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป

กระสุนมิเย่เป็นกระสุนหัวแหลมที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับปืนไรเฟิลลำกล้องเกลียว ทำให้กระสุนหมุนควงตัดกระแสอากาศเข้าเป้าหมายได้แม่นยำมากขึ้น และทำให้พลแม่นปืนเป็นหน่วยทหารที่มีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเครื่องจักรอุตสาหกรรมเข้ามาทำงานคว้านลำกล้องแทนแรงงานมนุษย์ ซึ่งทำให้การผลิตปืนไรเฟิลทำได้ง่ายมากขึ้น
(http://www.gunsandammo.info/wp-content/uploads/img_minie-ball_tn.jpg)

หน่วยพลแม่นปืนเริ่มปรากฏชัดในช่วงสงครามนโปเลียน โดยพัฒนามาจากหน่วยทหารราบเบา และดำเนินยุทธวิธีรบแบบตัดกำลังข้าศึกด้วยการยิงจากระยะไกล
(Osprey Publishing)

การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้ส่งผลให้สถาบันทางทหารกลายเป็นองค์กรที่เป็นเสมือนดาบสองคมที่อาจสร้างความมั่นคงต่อรัฐด้วยความสามารถปกป้องรัฐจากภัยคุกคามภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือนำรัฐไปสู่กลียุคและความไม่มั่นคงทางการเมืองจากความทะเยอทะยานขององค์กรทหารที่สำคัญตนเองว่า เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ มีความเจริญสูงสุด และเป็นเอกภาพ ซึ่งแต่ละรัฐต้องเผชิญปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างการทหาร อำนาจทางการเมือง และสังคมพลเรือน กับเสถียรภาพขององค์กรทหารที่จัดการตามรูปแบบแนวคิดของรัฐดังกล่าว และแต่ละรัฐมีวิธีการจัดการปัญหาแตกต่างกัน โดยผู้นำหลักในการคิดแนวทางจัดการปัญหานี้คือ ฝรั่งเศสและปรัสเซีย

รูปแบบการจัดการสถาบันทางทหารของฝรั่งเศส คือ การแยกสถาบันทางทหารออกจากสังคมพลเรือน เนื่องจากสังคมพลเรือนของฝรั่งเศสที่เปลี่ยนแปลงหลังจากการปฏิวัติปีค.ศ. 1789 และการปฏิวัติภายหลังอีกหลายครั้งนั้นให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและสิทธิเสรีภาพของบุคคล ซึ่งทัศนคติดังกล่าวขัดแย้งกับทัศนคติของกองทัพที่มองถึงความจำเป็นของการมีชนชั้นในรูปแบบของสายบัญชาการ เพื่อให้เกิดอำนาจการสั่งการทางทหาร ซึ่งเป็นแนวคิดที่สั่งสมจากสังคมฟิวดัลในยุคกลางและสังคมยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สังคมพลเรือนฝรั่งเศสจึงมองว่า แนวคิดเรื่องชนชั้นเป็นอิทธิพลของระบอบกษัตริย์ที่เป็นภัยคุกคามต่อสังคมสาธารณรัฐ จึงไม่ได้รับการยอมรับ แต่ขณะเดียวกันเสถียรภาพภายในของกองทัพและอำนาจสั่งการก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อมิให้กองทัพแตกแยกอันเนื่องมาจากการกบฏของทหารระดับล่าง และจะนำมาซึ่งความวุ่นวายในสังคมและการล้มอำนาจทางการเมือง ฝรั่งเศสจึงเลือกวิธีการแยกสังคมทหารออกจากสังคมพลเรือน เป็นอีกสังคมที่คู่ขนานกัน ทำให้กิจกรรมของสังคมทั้งสองไม่ข้องเกี่ยวกันและไม่ก้าวก่ายกัน ความวุ่นวายทางการเมืองภายในรัฐก็จะไม่กระทบต่อการจัดการและเสถียรภาพภายในกองทัพ และปัญหาความขัดแย้งภายในกองทัพก็จะไม่ส่งผลต่อการเมืองของรัฐ ขณะเดียวกันก็สร้างความหมายใหม่ของการเกณฑ์ทหารว่า เป็นหน้าที่รับใช้ชาติ เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสังคมแห่งเสรีภาพของพลเรือน

ภาพพาดหัวข่าววารสาร Le Petit Jounal ของฝรั่งเศสเรื่องการริบยศและตำแหน่งจากร้อยเอกอัลเฟรด เดรย์ฟุส รวมทั้งการหักกระบี่นายทหาร เนื่องจากเดรย์ฟุสถูกกล่าวหาว่า จารกรรมข้อมูลส่งให้สถานฑูตเยอรมนี
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/52/Degradation_alfred_dreyfus.jpg/632px-Degradation_alfred_dreyfus.jpg) 

แต่กระนั้น รูปแบบการจัดการสถาบันทางทหารเช่นนี้ได้กลายเป็นปัญหาต่อสถาบันพลเรือนมากขึ้นภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐครั้งที่ 3 เนื่องจากนับตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศส โครงสร้างของกองทัพมิได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนักและบุคลากรของกองทัพจำนวนมากยังเป็นชนชั้นนำจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ยังมีทัศนคติอนุรักษ์นิยม พยายามกีดกันทหารที่มีเชื้อชาติและศาสนาอื่นขึ้นมามีอำนาจเหนือชาวฝรั่งเศสที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ดูแคลนรัฐบาลสาธารณรัฐ และสนับสนุนระบอบกษัตริย์ ซึ่งการแยกสถาบันทหารออกจากสังคมพลเรือนได้เปิดโอกาสให้กลุ่มต่อต้านสาธารณรัฐเข้าแทรกแซงสถาบันกองทัพได้ง่าย และดึงอำนาจของกองทัพมาเป็นเครื่องมือในการยึดอำนาจทางการเมืองดังเช่นวิกฤตการณ์ความพยายามยึดอำนาจของบูลองเย่ร์ (Boulanger Crisis) ในปีค.ศ. 1889 และสะท้อนถึงความอ่อนแอของสถาบันการเมืองฝ่ายพลเรือนในการควบคุมกองทัพจากคดีกล่าวหานายทหารชาวยิว อัลเฟรด เดรย์ฟุส (Dreyfus Affair) ในปีค.ศ. 1894-1906 ซึ่งคดีทางทหารเพียงไม่กี่คดีที่สาธารณชนชาวฝรั่งเศสได้รับรู้ถึงสภาพเป็นจริงในสถาบันทางทหาร ภายหลังจากวิกฤตการณ์ทั้งสอง รัฐบาลฝรั่งเศสได้ดำเนินคดีกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการใส่ร้ายคดีเดรย์ฟุสทั้งหมด และปฏิรูปกองทัพโดยใช้รูปแบบของการบังคับเกณฑ์ทหารทั่วประเทศและระบบกำลังสำรองเช่นเดียวกับปรัสเซีย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามกับเยอรมนี

รูปแบบการจัดการของปรัสเซียนั้น คือ การใช้ระบบการเกณฑ์ทหารทั่วประเทศและการสำรองกำลังพลที่สามารถเรียกทดแทนได้ทันทีจากการเตรียมความพร้อมด้วยระบบการศึกษาทั่วประเทศและการสร้างสังคมแบบรัฐทหาร ซึ่งภายหลังชัยชนะของปรัสเซียในสังครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียปีค.ศ. 1871 รูปแบบการจัดการของปรัสเซียได้กลายเป็นมาตรฐานการจัดการระเบียบสังคม การเมือง และการทหารของรัฐอื่น ๆ บนภาคพื้นทวีปยุโรป แนวคิดในการจัดการนี้มีพื้นฐานมาจากภูมิรัฐศาสตร์ของบรรดารัฐเยอรมันที่ตั้งอยู่กึ่งกลางทวีปยุโรปและขนาบข้างด้วยรัฐมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสทางตะวันตกและจักรวรรดิรัสเซียทางตะวันออก และด้วยภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่พื้นที่แห่งนี้ถูกคุกคามจากรัฐมหาอำนาจรอบข้างและจากความขัดแย้งระหว่างรัฐเยอรมันด้วยกันเอง จึงทำให้รัฐเยอรมันมีทัศนคติที่หวาดระแวงภัยคุกคามและต้องเตรียมพร้อมรับสงครามเสมอ โดยเฉพาะเมื่อรัฐปรัสเซียได้รับชัยชนะทางทหารในสงครามต่าง ๆ และขึ้นมามีอำนาจเหนือรัฐเยอรมันอื่น ๆ ในฐานะหนึ่งในรัฐที่มีอิทธิพลในสมาพันธรัฐเยอรมันที่ก่อตั้งขึ้นภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ในสงครามนโปเลียนเมื่อปีค.ศ. 1806 ได้ทำให้รัฐปรัสเซียเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการปฏิรูปประเทศทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการทหาร เพื่อเอาชนะสงครามและป้องกันการลุกฮือของชนชั้นล่างที่จะขึ้นมาล้มล้างชนชั้นนำเฉกเช่นที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส การปฏิรูปดังกล่าวทำให้รัฐปรัสเซียมีการเปลี่ยนแปลงการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไปสู่การเป็นรัฐทหาร การเมืองเปลี่ยนแปลงจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญและบริหารประเทศด้วยระบบสภาแห่งชาติ เศรษฐกิจแปรผันจากระบบพาณิชยชาตินิยมที่ผูกขาดโดยสมาคมช่างฝีมือและพ่อค้าไปสู่การแข่งขันในระบบทุนนิยมเสรี และสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป รัฐพยายามให้ความช่วยเหลือในการยกเลิกระบบทาสติดที่ดินในสังคม ชาวนามีอิสระในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพมากขึ้น และระบบการศึกษาทั่วประเทศที่ปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่มองถึงความสำคัญของอนาคตในการรวมชาติเยอรมัน ขณะที่ยังสามารถโครงสร้างชนชั้นในสังคมไว้ได้ เนื่องจากชนชั้นปกครองเป็นผู้นำการดำเนินการปฏิรูป แม้ชนชั้นกลางที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่การได้มาซึ่งอำนาจนี้มาจากความช่วยเหลือจากชนชั้นปกครองทั้งในระดับนโยบายของรัฐและการร่วมทุนในกิจการ ขณะเดียวกัน ชนชั้นกลางเองก็หวาดกลัวการลุกฮือจากชนชั้นกรรมาชีพ รวมทั้งชนชั้นเจ้าของที่ดินพัฒนาตนเองจากการปฏิรูปการเกษตรในช่วงทศวรรษที่ 1840-1870 และการยกเลิกระบบฟิวดัลทำให้ชนชั้นเจ้าของที่ดินมั่งคั่งขึ้นจากทรัพย์ที่ชาวนานำมาจ่ายแลกสิทธิ์การเป็นเสรีชน ความมั่งคั่งและการพัฒนาตนเองของชนชั้นนำเจ้าของที่ดินและความอ่อนแอของชนชั้นกลางจึงนำมาซึ่งการประนีประนอมระหว่างชนชั้นกลางและชนชั้นนำทางสังคมอันเป็นลักษณะทางสังคมที่แตกต่างจากสังคมที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสและอังกฤษ

อีกทั้งปรัชญาและความคิดทางเศรษฐกิจการเมืองของเยอรมนีมุ่งให้ความสำคัญกับแนวคิดบรรษัทนิยม (Corporatism) และอินทรีย์นิยม (Organism) มุ่งเน้นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวระหว่างรัฐและสังคม โดยมองว่า หน่วยทางสังคมมีหน้าที่แตกต่างกันและไม่มีความเท่าเทียมกัน แต่แต่ละหน่วยต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ส่วนรวมสามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยมีรัฐเป็นองค์กรสูงสุด ดูแลส่วนต่าง ๆ ให้เข้ากันได้ และดูแลสวัสดิการให้ทุกส่วนได้รับตามฐานานุรูป [1]

ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และการปฏิรูปเหล่านี้ทำให้สังคมพลเรือนตระหนักถึงความจำเป็นที่ประชาชนจะต้องพร้อมทำหน้าที่ทางทหารตลอดเวลา และระบบเศรษฐกิจต้องพร้อมที่จะให้การสนับสนุนทางทหารทันทีที่รัฐบาล เตรียมพร้อมเข้าสู่สงครามแม้สงครามยังมิได้เริ่มต้นขึ้น

ภาพจักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2 กับคณะเสนาธิการทหาร ซึ่งคณะเสนาธิการทหารมีความสำคัญอย่างมากในการศึกษาสงครามและจัดวางแผนสำหรับการสงคราม รวมทั้งการจัดตารางรถไฟขนส่งกำลังพลและเสบียงอย่างเป็นระบบระเบียบ
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/4/4c/Kaiser_generals.jpg)

ขณะที่การปฏิรูปภาคพลเรือนดำเนินไป การปฏิรูปการทหารก็ดำเนินคู่ขนานกันด้วยระบบการเกณฑ์ทหารทั่วประเทศเช่นเดียวกับฝรั่งเศส การตั้งระบบกองกำลังสำรอง และการตั้งคณะเสนาธิการทหาร (General Staff) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากในการดำเนินงานการทหารของกองทัพปรัสเซียและกองทัพเยอรมันในเวลาต่อมา แต่เช่นเดียวกับสังคมพลเรือน แม้จะมีการดำเนินการปฏิรูป แต่สังคมทางทหารของปรัสเซียยังคงไว้ซึ่งระบบชนชั้นที่นายทหารในระบบกองทหารประจำการที่ขึ้นตรงต่อราชวงศ์เป็นผู้มีอำนาจในสายบัญชาการ และกองทัพประจำการคือกองทัพระดับชั้นนำ ขณะที่กองทหารแห่งชาติ (Landwehr) ที่ก่อตั้งขึ้นปีค.ศ. 1813 จากระบบการเกณฑ์ทหารทั่วประเทศกลับถูกลดความสำคัญภายหลังจากสงครามนโปเลียน และกลายเป็นกองกำลังชั้นรอง

ขณะที่ภาคพื้นทวีปยุโรป ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางทหาร โดยเฉพาะเมื่อปรัสเซียได้รับชัยชนะจากสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย รูปแบบการทหารของปรัสเซียกลายเป็นแบบอย่างการปฏิรูปการทหารในรัฐต่าง ๆ ทั้งบนภาคพื้นยุโรปและในชาติที่ห่างไกลเช่น ญี่ปุ่น จีน และสยาม ในรูปของ การปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย (ตามอย่างตะวันตก) (Modernization) แต่บนเกาะอังกฤษที่แยกจากภาคพื้นทวีปและสหรัฐฯที่ห่างไกล ความเปลี่ยนแปลงมิได้ส่งผลกระทบต่อการทหารมากเท่าใดนักด้วยปัจจัยสาเหตุที่แตกต่างกัน

ในอังกฤษ ชนชั้นนำเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่เป็นผู้สนับสนุนการพัฒนาระบบทุนนิยมและแนวคิดเสรีนิยม และเป็นกลุ่มผู้ครอบงำรัฐสภา รวมทั้งชนชั้นนำมีการประนีประนอมกับชนชั้นอื่นได้ โดยให้ชนชั้นกลางเข้ามามีส่วนร่วมในอำนาจทางการเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ และช่วยเหลือเรื่องสวัสดิการและการคุ้มครองชนชั้นล่าง ขณะเดียวกัน ด้วยข้อจำกัดเรื่องจำนวนประชากร ทำให้กองทัพอังกฤษในยามปกติมีขนาดที่เล็กและมีลักษณะเป็นทหารอาชีพที่ประจำการตลอดชีวิตเป็นเวลานานนับตั้งแต่การก่อตั้ง กองทัพรูปแบบใหม่ (New Model Army) ปีค.ศ. 1645 และขึ้นตรงต่อรัฐสภา มิใช่ต่อกษัตริย์ แม้จะมีการเกณฑ์ทหารเพิ่มเติมจำนวนมากเมื่องสงครามนโปเลียน แต่ก็ถูกลดขนาดลงหลังสงครามยุติ นายทหารระดับสูงเป็นผู้ที่มาจากชนชั้นนำทางสังคม และแม้จะมีการเปิดให้ชนชั้นอื่นเข้ามามีส่วนร่วมและเปิดโอกาสมากขึ้น แต่มีเงื่อนไขจำกัดการประจำตำแหน่ง เช่น การผ่านการศึกษาในราชวิทยาลัยการทหาร, เงื่อนไขการผ่านการประจำตำแหน่งก่อนหน้าตามระยะเวลาที่กำหนด และระยะการดำรงตำแหน่งที่จำกัด มิใช่ตำแหน่งตลอดชีวิต เป็นต้น

การปฏิรูปการรักษาพยาบาลทหารของฟลอเรนต์ ไนติงเกลเป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญที่ทำให้กองทัพมองว่า กองทัพมิอาจคงอยู่หรือพัฒนาตนเองได้หากมิได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพลเรือน
(http://www.nam.ac.uk/images/online/florence-nightingale/images/48066.jpg)

นอกจากนี้ การปฏิรูปกองทัพในช่วงสงครามนโปเลียนและในเวลาต่อมาโดยรัฐสภาและชนชั้นนำได้พยายามทำให้ทหารระดับล่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การปรับปรุงการรักษาพยาบาลและสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพลทหารโดยฟลอเรนต์ ไนติงเกล (Florence Nightingale) และความพยายามยกเลิกการลงโทษด้วยวิธีเฆี่ยนจากการปฏิรูปของคาร์ดเวลล์ (Cardwell Reforms) เป็นต้น ด้วยสังคมพลเรือนและสังคมทหารต่างยอมรับการมีชนชั้น ทัศนคติการเป็นทหารอาชีพและการประนีประนอมระหว่างชนชั้น และระบอบการปกครองแบบรัฐสภาที่เปิดกว้างให้ชนชั้นอื่นมีส่วนร่วม ทำให้สังคมทหารรู้สึกว่าตนเองต้องพึ่งพาสังคมพลเรือน และมีทัศนคติของทหารอาชีพที่เข้าใจขอบเขตหน้าที่ของตนเอง ซึ่งทัศนคติของทหารอาชีพนี้ได้กระจายแพร่หลายไปกองทหารพื้นเมืองในอาณานิคมที่อังกฤษไปจัดตั้งไว้ด้วย

ส่วนในสหรัฐฯ สังคมมีลักษณะที่แตกต่างจากยุโรปโดยสิ้นเชิง เนื่องจากผู้ที่อพยพมายังอเมริกาเป็นผู้ที่หลีกหนีการกดขี่จากสังคมอภิสิทธิ์ของชนชั้นนำในยุโรป มาตั้งสังคมใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้มีทักษะความสามารถไต่เต้าไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้ สังคมอเมริกาจึงยอมรับชนชั้นจากความสามารถและปฏิเสธอภิสิทธิ์ที่มาจากชาติกำเนิด ขณะเดียวกัน ด้วยระยะทางที่ห่างไกลเกินกว่าที่กองทัพอังกฤษจะให้ความคุ้มครองได้ทั่วถึงและทันท่วงที อาณานิคมแต่ละแห่งจึงต้องจัดตั้งพลเมืองอาสาติดอาวุธ เพื่อปกป้องตนเองจากการรุกรานของอินเดียนแดง และเมื่ออาณานิคมอเมริกา 13 รัฐทำสงครามประกาศเอกราชจากอังกฤษ กองทัพทางการก็จัดตั้งขึ้นจากการรวบรวมชาวอาณานิคมแต่ละแห่งให้อยู่ภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพคนเดียวภายใต้อำนาจของสภาคองเกรสแห่งภาคพื้นทวีป (Continental Congress) ดำเนินการรบโดยตรงควบคู่กับสงครามกองโจรที่ดำเนินโดยทหารอาสา และสภาคองเกรสดำเนินยุทธศาสตร์การทูตขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรฝรั่งเศส

จากพัฒนาการของกองทัพที่เริ่มต้นมาจากพลเรือนติดอาวุธพิทักษ์อาณานิคมและสถาบันการเมืองภาคพลเรือนเป็นผู้จัดตั้งสถาบันทางทหาร รวมถึงกองทัพต้องการการสนับสนุนจากภาคพลเรือนอย่างมากในช่วงสงครามประกาศอิสรภาพ ทำให้สถาบันทางทหารมองว่า พลเรือนมีความสามารถในการปกป้องตนเองและผลประโยชน์ส่วนตนได้ กองทัพมีเพียงหน้าที่ต่อรัฐเพื่อรักษาผลประโยชน์ของภาคพลเรือน โดยมีสถาบันการเมืองเป็นตัวแทนเจตจำนงของประชาชนและสื่อกลางถ่ายทอดนโยบายยุทธศาสตร์ให้แก่กองทัพ ทัศนคติของสถาบันทหารเช่นนี้ทำให้ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมมิได้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสังคมพลเรือนกับสังคมทหารเท่าใดนัก แม้ความขัดแย้งทางการเมืองจะนำมาซึ่งสงครามกลางเมืองปีค.ศ. 1861-1865 แต่ความขัดแย้งนั้นเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างแนวคิดฝ่ายพลเมืองด้วยกันเป็นหลัก กำลังทหารมีหน้าที่ตอบสนองต่อการเมืองแต่ละฝ่าย โดยการตัดสินใจทำสงครามต้องได้รับการเห็นชอบโดยฝ่ายพลเรือน และชัยชนะของฝ่ายสหรัฐฯยังเป็นการตอกย้ำอำนาจและความชอบธรรมของรัฐบาลกลางในฐานะผู้มีอำนาจทางทหารแต่เพียงผู้เดียว อันเป็นหลักการนับตั้งแต่การก่อตั้งรัฐบาลสหรัฐฯหลังการประกาศเอกราช

ในเวลาเดียวกัน การพัฒนาเศรษฐกิจจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีทางทหารได้ทำให้เกิดสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างอำนาจเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและอำนาจทางทหาร ประเทศในยุโรปที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและครอบครองเทคโนโลยีทางทหารที่ทันสมัยสามารถกุมอำนาจการต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศ ปัจจัยนี้นำมาซึ่งทัศนคติว่า ชาติตะวันตกเป็นชาติที่มีความเจริญทางอารยธรรมสูงสุดทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งส่งผลให้ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประวัติศาสตร์การทหารและบทเรียนประสบการณ์จากสงครามถูกละเลย แม้แต่สงครามกลางเมืองของสหรัฐฯก็มิได้เป็นที่รับรู้นอกประเทศมากเท่าใดนักจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากในช่วงศตวรรษที่ 19 หลังสงครามนโปเลียน ชาติมหาอำนาจตะวันตกมุ่งความสนใจไปยังการขยายและครอบครองดินแดนโพ้นทะเลเป็นอาณานิคม เพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรมาป้อนระบบการผลิตอุตสาหกรรมในประเทศของตน และใช้อาณานิคมตนเองเป็นตลาดขายสินค้าส่วนเกินจากความต้องการในประเทศมหาอำนาจเหล่านั้น ซึ่งดินแดนที่ชาติมหาอำนาจเข้าไปขยายอาณานิคมล้วนมีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารที่ด้อยกว่าชาติตะวันตกทั้งสิ้น ประกอบกับแนวคิดเรื่องชาตินิยมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน จึงทำให้ชาติมหาอำนาจเหล่านั้นมีทัศนคติที่มองว่า ชาติของตนเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าชาติอื่น ๆ โดยเฉพาะต่อชาติที่ตนยึดครองเป็นอาณานิคม

ลักษณะแนวคิดและทัศนคติที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เหล่านี้ได้ส่งผลต่อการเขียนประวัติศาสตร์ในยุคสมัยนี้อย่างมาก โดยเฉพาะสามแนวคิดสำคัญดังนี้

แนวคิดชาตินิยม (Nationalism) ดังที่ได้กล่าวไป ซึ่งเป็นแนวคิดที่เน้นให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ที่เป็นสำนึกร่วมของ ความเป็นชาติ เหนืออัตลักษณ์ของความเป็นท้องถิ่น อัตลักษณ์ของ ชาติ ดังกล่าวนี้มีขอบเขตรวมการใช้ภาษาเดียวกัน, มีวัฒนธรรมเดียวกัน, มีคุณลักษณะของเชื้อชาติเดียวกัน และที่สำคัญคือ การมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน ซึ่งทำให้นักประวัติศาสตร์ในยุคสมัยนี้เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเป็นชาติผ่านการเขียนประวัติศาสตร์เพื่อรับใช้วัตถุประสงค์ทางการเมืองนี้ แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างประวัติศาสตร์ภายใต้ขอบเขตวัตถุประสงค์ทางการเมืองนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการและทัศนคติแบบโรแมนติก

ทัศนคติแบบโรแมนติก (Romanticism) เป็นกระแสทางสังคมและภูมิปัญญาที่เริ่มเกิดขึ้นช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และรุ่งเรืองขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่เกิดขึ้นมาตอบโต้กระแสความรุ่งเรืองทางภูมิปัญญา (The Enlightenment) และแนวคิดเหตุผลนิยมตามวิทยาศาสตร์ โดยการให้ความสำคัญกับการปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงด้วยสำนึกทางวัฒนธรรม เนื่องจากกระแสความรุ่งเรืองทางภูมิปัญญาเป็นกระแสที่เกิดขึ้นเฉพาะในหมู่ชนชั้นนำทางสังคมและชนชั้นกลางมั่งคั่งที่ต้องการสร้างกฎเกณฑ์ทางสังคมด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ แต่คำตอบทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบคำถามบางอย่างทางวัฒนธรรมและความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เกิดขึ้นกับชนชั้นล่างได้ แม้กระแสแนวคิดการปกครองแบบเสรีนิยมจะริเริ่มมาจากภูมิปัญญาชนชั้นกลาง แต่ผู้ที่ผลักดันแนวคิดให้เกิดขึ้นได้จริงในสังคมคือ ชนชั้นล่าง ซึ่งผสมผสานแนวคิดเข้ากับการปลุกเร้าอารมณ์ให้ผู้คนมีความรู้สึกร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงสังคม และด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรม ผู้คนรับรู้ข่าวสารการประกาศเอกราชของอาณานิคมบนทวีปอเมริกาและการปฏิวัติฝรั่งเศสมากขึ้นจากการแพร่หลายของหนังสือพิมพ์ และตัวอย่างดังกล่าวกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ปลุกเร้าให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงทางการเมืองวงกว้างในยุโรป

นอกจากนี้ เมื่อชาติมหาอำนาจยุโรปแผ่ขยายอำนาจของตนไปทั่วโลกด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและสภาพทางสังคมที่ก้าวหน้า แนวคิดโรแมนติกนี้ก็ทำให้ผู้คนมีมุมมองทางประวัติศาสตร์ในเชิงเส้นตรงว่า เรื่องราวของประวัติศาสตร์คือเรื่องราวความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการพัฒนาสังคมไปสู่อีกขั้นหนึ่ง โดยชาติตะวันตกเป็นผู้ที่มีพัฒนาการก้าวหน้าที่สุดด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และแนวคิดเสรีนิยม จึงเป็นผู้เหมาะสมที่สุดที่จะนำชาติอื่น ๆ ไปสู่ความเจริญ ทัศนคติดังกล่าวนี้ส่งผลให้เกิดมุมมองการเขียนประวัติศาสตร์ยุโรปแบบเชิดชูตนเองในลักษณะเช่นเดียวกันการเขียนประวัติศาสตร์การทหารของจูเลียส ซีซาร์
  
[1] ฉัตรทิพย์ นาคสุภา. ประวัติศาสตร์การปฏิวัติอุตสาหกรรมเปรียบเทียบ. (บริษัทสำนักพิมพ์สร้างสรรค์, 2536), หน้า 70

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น