ประวัติศาสตร์การทหารในยุโรปยุคกลาง
ภายหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก
ดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิก็ได้แบ่งแยกออกเป็นอาณาจักรต่าง ๆ ที่ปกครองโดยชนเผ่าเยอรมันผู้รุกราน
ซึ่งแต่ละอาณาจักรมิได้มีอำนาจทางการเมืองมากพอที่จะพัฒนากลไกที่จะรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางดั่งเช่นจักรวรรดิโรมัน
และสภาวะเศรษฐกิจถดถอยลงจากภาวะความสับสนวุ่นวายจากการอพยพย้ายถิ่นฐานและการรุกรานจากพวกไวกิ้ง
การตัดขาดเส้นทางการค้าระยะไกลของดินแดนตอนในภาคพื้นทวีป การขยายตัวของจักรวรรดิอิสลาม
และความเสื่อมลงของระบบเงินตรา ซึ่งศักยภาพทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับรองรับการสร้างกองทัพขนาดใหญ่
อีกทั้งการที่ชนชั้นนำเจ้าของที่ดินชาวคริสต์ตั้งแต่สมัยปลายจักรวรรดิโรมันขึ้นมามีอำนาจจากการเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิต
คือ ที่ดิน ทำให้ชนชั้นนำเจ้าของที่ดินเป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจและเป็นเจ้าของกำลังทหารที่มาจากผู้คนที่ยินยอมอยู่ใต้อำนาจของตน
ภาพพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ซาร์ลที่ 7 แห่งฝรั่งเศส พระองค์กำลังรับการสวมมงกุฎโดยพระสันตะปาปา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงว่า สิทธิธรรมและอำนาจในการปกครองทั้งมวลเป็นอำนาจจากพระเจ้า โดยผู้ที่นำอำนาจมามอบให้คือ ศาสนจักร
(http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Charles-vii-courronement-_Panth%C3%A9on_III.jpg)
ขณะเดียวกัน องค์กรศาสนาคริสต์ที่รับรูปแบบการจัดการองค์กรจากสถาบันการเมืองของจักรวรรดิโรมันขึ้นมามีอำนาจเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้ที่เข้ามาจัดตั้งกลไกการปกครองให้แก่อาณาจักรต่าง
ๆ พร้อมการเผยแผ่ศาสนา และศาสนาคริสต์กลายเป็นที่มาของสิทธิธรรมการปกครองของอาณาจักรต่าง
ๆ ตามแนวคิด “เทวสิทธิ์” (Divine Right) ของพระคัมภีร์ใหม่ที่มองว่า
อำนาจทั้งหมดเป็นของพระเจ้า กษัตริย์คือผู้ปกครองโดยอำนาจของพระเจ้า โดยพระเจ้าจะเลือกสรรกษัตริย์โดยยึดหลักสายโลหิต
และพระเจ้าคือผู้เดียวที่จะตัดสินพฤติกรรมของกษัตริย์ [1] ดังนั้น กษัตริย์ของแต่ละอาณาจักรจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากศาสนจักรซึ่งดำรงสถานะเป็นสื่อกลางระหว่างโลกกับสวรรค์
จึงจะมีความชอบธรรมในการปกครองและเป็นที่ยอมรับในสังคม แต่กระนั้น กษัตริย์ก็มิได้มีอำนาจการปกครองอาณาจักรทั้งหมด
อำนาจของพระองค์แท้จริงนั้นจำกัดอยู่เพียงในพื้นที่แว่นแคว้นที่พำนักของพระองค์ นอกเหนือจากอาณาเขตนั้น
พระองค์ก็เป็นเพียงผู้ที่ได้รับการยอมรับจากเหล่าชนชั้นนำในฐานะสายเลือดที่เลือกสรรโดยพระเจ้า
ขณะที่สภาขุนนางคือกลุ่มคนที่กุมอำนาจการปกครองอย่างแท้จริง และองค์กรทางศาสนาเป็นผู้มีอิทธิพลทางสังคมต่อรองอำนาจของกษัตริย์
ลักษณะทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมดังกล่าวนี้คือ
“ฟิวดัล” (Feudalism) [2] อันเป็นลักษณะความสัมพันธ์ทางการเมือง
เศรษฐกิจ และสังคมระหว่างชนชั้นเจ้านาย ผู้สวามิภักดิ์ใต้อำนาจ และที่ดินซึ่งผูกพันกันแน่นแฟ้น
และลักษณะเช่นนี้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงการเขียนประวัติศาสตร์ในช่วงระหว่างปีค.ศ.
400-1000 ที่ชนชั้นนำนักรบและการให้ความสำคัญกับความรู้ทางศาสนาเข้ามามีบทบาทครอบงำ
ในช่วงยุคกลางตอนต้น ความไม่มั่นคงในชีวิตส่งผลให้ผู้คนให้ความสำคัญกับการหาเลี้ยงชีพแบบพึ่งตนเองและแสวงหาความปลอดภัย
การศึกษามิใช่สิ่งจำเป็นและถูกมองว่าเป็นกิจของนักบวช อีกทั้งการเรียนหนังสือถูกจำกัดไว้เพียงในองค์กรทางศาสนา
กลุ่มนักบวชจึงเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่เข้าถึงความรู้ทางประวัติศาสตร์และบันทึกประวัติศาสตร์
ซึ่งการเขียนประวัติศาสตร์ที่ดำเนินโดยโบสถ์มิใช่การศึกษาประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบเฉกเช่นในสมัยกรีก-โรมัน
หากแต่มีรูปแบบเป็นบันทึกเหตุการณ์ทางศาสนาที่จะบันทึกเป็นรายช่วงเวลา (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายปี)
โดยเน้นเหตุการณ์สำคัญ แต่กระนั้น ก็มีรายละเอียดเนื้อหาของเหตุการณ์เพียงเล็กน้อย
โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทหารและสงคราม รวมทั้งมักยกคำหรือประโยคจากงานเขียนยุคโรมันมาใช้อธิบายรายละเอียดของสงคราม
[3] อีกทั้งมีกรอบความคิดในเชิงประวัติศาสตร์ศาสนาที่มองว่า พระเจ้ากำหนดทุกสิ่งและทุกเหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาไว้ล่วงหน้าแล้ว
จึงทำให้ความคิดความเข้าใจเรื่องเหตุปัจจัยแห่งสงครามมีเพียง “ประสงค์ของพระเจ้า”
และ “การทดสอบของพระเจ้า” ความสามารถของแม่ทัพหรือบุคลากรทางทหารมิได้รับความสำคัญเท่าใดนัก
ภาพการดำเนินเรื่องราวของบทเพลงแห่งโรแลนด์
(http://en.wikipedia.org/wiki/File:Grandes_chroniques_Roland.jpg)
จากมุมมองทางศาสนาและการมองว่า การศึกษาเป็นกิจของนักบวชเท่านั้น
จึงทำให้ในช่วงต้นของยุคกลาง ไม่มีงานเขียนที่สร้างขึ้นเพื่อการศึกษาทางทหารชิ้นอื่นนอกเหนือจากสำเนางานเขียนของเวเกติอุสที่มีการคัดลอกไว้จำนวนหนึ่ง
แต่ก็ยังคงเกิดข้อสงสัยว่า มีการนำงานเขียนของเวเกติอุสมาศึกษาเพื่อนำไปใช้ในการสงครามจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ขณะที่งานเขียนในเชิงการศึกษาการทหารยังคงเป็นข้อสงสัย งานเขียนอีกประเภทหนึ่งได้เจริญขึ้น
นั่นคือ บทกวีเรื่องเล่าจากสงคราม ซึ่งบันทึกจากเรื่องเล่าปากต่อปากหรือมุขปาฐะเช่นเดียวกันมหากาพย์อีเลียดในสมัยกรีกโบราณ
บทกวีที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ บทเพลงแห่งโรแลนด์ (La Chanson de
Roland) ซึ่งเป็นบทกวีที่เล่าเรื่องราววีรกรรมของสมรภูมิรงเคอวัวซ์
(Battle of Roncevaux) ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์แห่งชนชาติแฟรงค์
ชาร์เลอมาญ (Charlemagne) แม้บทกวีนี้จะเป็นที่นิยมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
12-14 และมีเนื้อหาที่หลากหลายแตกต่างกันไป แต่ลักษณะของเนื้อหาเป็นไปในลักษณะเดียวกันคือ
บทกวีจะสะท้อนถึงสังคมชนชั้นนำนักรบและการเชิดชูคุณค่าวีรกรรม ความกล้าหาญ ความภักดี
และศิลปะการต่อสู้ด้วยสำนวนภาษาที่วิจิตร เฉกเช่นเดียวกับบทกวีเรื่องเล่าจากสงครามจากดินแดนอื่นในยุคจารีตนี้
เช่น มหากาพย์ซุนเดียตา (Sundiata Keita) ของจักรวรรดิมาลีในแอฟริกาตะวันตกช่วงศตวรรษที่
13 และเรื่องเล่าของพวกเฮเกะ (Heike Monogatari) ของญี่ปุ่นยุคคามาคุระ
เป็นต้น ซึ่งลักษณะสำนวนภาษาดังกล่าวทำให้เกิดความซับซ้อนในการตีความและมักนำไปสู่การตีความหมายผิด
การเขียนประวัติศาสตร์ในลักษณะดังกล่าวดำเนินไปจนกระทั่งประมาณศตวรรษที่
10-13 เมื่อโลกยุโรปตะวันตกเริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ทางการเมืองที่สงบลง
สภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้นเป็นเวลายาวนาน และการพัฒนาวิธีการผลิตทางการเกษตร ส่งผลให้ประชากรเพิ่มขึ้น
เกิดการขยายพื้นที่ทำการเกษตรและเกิดการตั้งเมืองตามชุมทางที่มีการเดินทางคับคั่ง เพื่อเป็นศูนย์กลางที่ผู้คนจะนำผลผลิตส่วนเกินมาแลกเปลี่ยนกัน
สิ่งนี้นำมาซึ่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจเงินตราเพื่อมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน การเสื่อมลงของฟิวดัล
และการฟื้นฟูอำนาจของกษัตริย์
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจเงินตรานี้ก็ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการทหาร
ซึ่งก่อนหน้านี้ ขุนนางสามารถเรียกเกณฑ์กำลังพลจากผู้ใต้ปกครองด้วยพันธสัญญาที่กำหนดอายุเวลา
40 วันต่อปี การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้ขุนนางมีความมั่งคั่งและสามารถใช้จ่ายทรัพย์จ้างทหารรับจ้างประจำการได้ตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังที่ทรัพย์จ่าย
[4] ความมั่งคั่งดังกล่าวยังส่งผลให้ชนชั้นนำนักรบแสวงหาความสนใจอื่นนอกเหนือจากการสงคราม
และทำให้เกิดแนวคิด “ธรรมะอัศวิน” (Chivalry) ซึ่งเป็นค่านิยมของชนชั้นนำนักรบที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงการเป็นนักรบที่มีอารยะและเป็นที่ยอมรับในหมู่ชนชั้นนำนักรบด้วยกัน
ภาพสมรภูมิฮาสติงซ์ที่ปักบนผ้าปักบาเยอซ์ (Bayeux Tapestry) แสดงภาพอัศวินนอร์แมนเข้าปะทะกับทหารราบแองโกล-แซกซอน
(http://en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_Hastings)
ภาพสมรภูมิฮาสติงซ์ที่วาดด้วยสีน้ำมันของจิตรกรทอม โลเวลล์ (Tom Lovell) ซึ่งแสดงภาพบิชอปโอโด (อัศวินที่ถือกระบอง) นำทหารม้าพุ่งเข้าปะทะทหารราบของฝ่ายแองโกล-แซกซอน ซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานประวัติศาสตร์ที่เขาเป็นผู้คุมอัศวินที่อยู่แนวหลัง แต่กระนั้นก็เป็นภาพที่สวยงามและทรงพลังภาพหนึ่ง
(http://www.angelfire.com/mb2/battle_hastings_1066/lovell.html)
สังคมที่สงบสุขลงและเศรษฐกิจที่ดีขึ้นส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการเรียนหนังสือและขยายขอบเขตความรู้มากขึ้นจากเรื่องทางศาสนา
แม้กลุ่มนักบวชจะยังคงเป็นกลุ่มหลักที่กำหนดทิศทางการเขียนประวัติศาสตร์
แต่เสมียนที่ทำงานจดบันทึกเรื่องราวในราชสำนักก็ได้เข้ามามีส่วนในการเขียนประวัติศาสตร์ในอีกด้านหนึ่ง
งานเขียนทางประวัติศาสตร์จึงเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น
หนึ่งในกลุ่มนักประวัติศาสตร์ช่วงต้นหลังการฟื้นฟูการค้าเป็นกลุ่มที่ดำเนินงานเขียนเกี่ยวกับราชวงศ์แองโกล-นอร์แมนที่ก่อตั้งโดยกษัตริย์วิลเลี่ยมที่
1 ผู้พิชิต (William
the Conqueror) เมื่อพระองค์พิชิตอังกฤษได้ในปีค.ศ. 1066 หนึ่งในงานเขียนนั้นคือ
“กรณียกิจของของวิลเลี่ยม ดุ๊กแห่งนอร์มังดีและกษัตริย์แห่งอังกฤษ”
(Gesta Willelmi ducis Normannorum et regis Anglorum) ของวิลเลี่ยมแห่งปัวติเย่ส์
(William of Poitiers) อัศวินและบาทหลวงประจำพระองค์ของกษัตริย์วิลเลี่ยม
งานเขียนของเขาให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชประวัติของกษัตริย์วิลเลี่ยมและการพิชิตอังกฤษ
โดยเฉพาะสมรภูมิฮาสติงซ์ในค.ศ. 1066 (Battle of Hastings) ซึ่งแม้เขาจะให้สำนวนการเขียนในลักษณะเชิดชูกษัตริย์ในลักษณะแบบเดียวกับที่จูเลียส
ซีซาร์ใช้เพื่อยกย่องพระองค์ให้เทียบเท่าชาวโรมัน [5] แต่จากการที่งานเขียนนี้รวบรวมหลักฐานจากการสัมภาษณ์ผู้ที่อยู่เหตุการณ์และตัวเขาเองเป็นอดีตอัศวินและบาทหลวงประจำพระองค์
จึงถือว่างานเขียนของเขาเป็นงานที่มีคุณค่ามากในการศึกษาการทหารสมรภูมิสำคัญของกษัตริย์วิลเลี่ยมผู้พิชิต
ภายหลังจากงานเขียนของวิลเลี่ยมแห่งปัวติเย่ส์ไปอีก
60 ปี นักประวัติศาสตร์รุ่นต่อมาได้กลับมาทบทวนศึกษาและเขียนประวัติศาสตร์นอร์มังดีและอังกฤษในช่วงเวลาต่อมา
งานเขียนของช่วงเวลานี้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ ประวัติศาสตร์ศาสนา (Historia
Ecclesiastica) ของออร์เดอริค วิตาลิส (Orderic Vitalis) ซึ่งมีเนื้อหาที่ครอบคลุมตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์จนถึงเหตุการณ์สงครามครูเสดครั้งแรก
โดยเนื้อหาในช่วงหลัง เขามุ่งเน้นการศึกษาพระราชประวัติของกษัตริย์วิลเลี่ยมที่ 1,
เรื่องเกี่ยวกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์, ศาสนจักร, การพิชิตดินแดนซิซิลีและอปูเลียของชาวนอร์แมน
และสงครามครูเสด โดยใช้ข้อมูลจากงานเขียนร่วมสมัยและงานเขียนของวิลเลี่ยมแห่งปัวติเย่ส์
รวมทั้งหนังสือส่งของกำนัลแก่โบสถ์ของชาวนอร์แมน [6] อีกงานเขียนหนึ่งที่มีชื่อเสียง
คืองานเขียนของวิลเลี่ยมแห่งมัลเมสเบอรี่ (William of Malmesbury) ซึ่งเน้นกรณียกิจของบุคคลสำคัญทางศาสนาและกษัตริย์อังกฤษ โดยเขาพยายามใช้เอกสารและการสัมภาษณ์บุคคลร่วมสมัย
[7] แม้งานเขียนของทั้งสองนี้จะยังหยิบยืมคำในภาษาละตินมาใช้อธิบายทางการทหาร แต่การอธิบายความเป็นไปตามบริบทร่วมสมัยมากกว่าการเขียนประวัติศาสตร์ในช่วงก่อนหน้าที่คัดลอกคำและประโยคจากงานเขียนสมัยโรมันมาโดยตรง
นอกจากงานเขียนจากทางราชสำนักแล้ว งานเขียนจำพวกบันทึกเหตุการณ์ในท้องถิ่นก็มีแพร่หลายมากขึ้นและให้รายละเอียดมากขึ้น
และต่อมาประมาณศตวรรษที่ 14 นักประวัติศาสตร์ประจำตระกูลได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์กลุ่มนี้จำนวนหนึ่งเช่น
ชอง ฟรัวซ์ซาต์ (Jean Froissart) และชานดอส เฮอรัลด์ (Chandos
Herald) รับจ้างทำหน้าที่เผยแพร่วีรกรรมและวีรคติอัศวินของชนชั้นนำนักรบทั้งฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสในช่วงสงครามร้อยปี
งานเขียนลักษณะนี้จะมุ่งเน้นวีรกรรมการต่อสู้ของอัศวินเป็นหลัก ขณะที่เรื่องราวเกี่ยวกับการจัดการการทหารและทหารราบชนชั้นล่างเป็นเพียงเนื้อหาส่วนน้อย
แม้ในช่วงหลังจากการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผู้ที่มีส่วนในการเขียนประวัติศาสตร์จะขยายกลุ่มมากขึ้นจากกลุ่มนักบวชในสถาบันทางศาสนาไปสู่ชนชั้นนำนักรบและราชสำนัก
อย่างไรก็ตาม การเขียนประวัติศาสตร์ยังคงให้ความสำคัญกับคำอธิบายประวัติศาสตร์ในเชิงศาสนาแม้จะมีผู้เขียนจำนวนหนึ่งเริ่มให้ความสำคัญกับการตัดสินใจและการกระทำที่เกิดโดยตัวมนุษย์เอง
รวมถึงคุณค่าและมุมมองของชนชั้นสูงนักรบได้ลดทอนความสำคัญงานเขียนจำพวกคู่มือการทหาร
บทกวีเรื่องเล่าจากสงครามที่เติบโตขึ้นในช่วงยุคกลางตอนต้นก็พัฒนาการเล่าเรื่องความยิ่งใหญ่ของวีรกรรมไปสู่วีรคติอัศวินและความรักใคร่ดั่งเช่น
“ตำนานกษัตริย์อาเธอร์” ที่มีเรื่องเล่าหลากหลายแบบ
และออกห่างจากการเป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์สู่วรรณคดี [8]
ขณะที่โลกยุโรปตะวันตกมีลักษณะสังคมที่ศาสนจักรและชนชั้นนำนักรบเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเขียนประวัติศาสตร์
ยุโรปอีกฟากหนึ่งก็มีลักษณะสังคมที่แตกต่างออกไปและส่งผลต่อการเขียนประวัติศาสตร์ในอีกลักษณะหนึ่งแม้ศาสนาคริสต์ยังคงเป็นศาสนาแห่งรัฐในยุโรปฟากตะวันออกเช่นเดียวกับฟากตะวันตก
รัฐที่จะกล่าวถึงนี้คือ จักรวรรดิไบแซนไทน์
[1] สุขุม นวลสกุล และโกศล โรจนพันธุ์.
ทฤษฎีการเมืองสมัยโบราณและสมัยกลาง. (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2548),
หน้า 77
[2] “ฟิวดัล” ในบทความนี้จะมิได้มีความหมายเดียวกับคำว่า “ศักดินาสวามิภักดิ์”
ตามความหมายที่คนไทยคุ้นเคย ซึ่งมักนำเปรียบเทียบกับลักษณะสังคมศักดินาของสมัยอยุธยา
เนื่องจากลักษณะทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมระหว่างยุโรปยุคกลางกับอยุธยามิได้มีความคล้ายคลึงกัน
[3] Stephen Morillo and Michael F.
Pavkovic. What is Military History? (Polity Press, 2014),
p. 22
[4] กุลลดา เกษบุญชู มี้ด. วิวัฒนาการรัฐอังกฤษ
ฝรั่งเศสในกระแสเศรษฐกิจโลกจากระบบฟิวดัลถึงการปฏิวัติ. แก้ไขปรับปรุงครั้งที่ 2 (สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน, 2552),
หน้า 67
[5] Stephen Morillo and Michael F. Pavkovic.
What is Military History?, p.23
[6] http://en.wikipedia.org/wiki/Orderic_Vitalis
[7] http://en.wikipedia.org/wiki/William_of_Malmesbury
[8] Stephen Morillo and Michael F. Pavkovic. What is
Military History?, p.23-24
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น