ดังที่ได้กล่าวในบทก่อนหน้าว่า
ประวัติศาสตร์การทหารเป็นหนึ่งในรูปแบบการเขียนประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจว่า
ผู้คนในอดีตเขียนเรื่องราวเหล่านั้นไว้ทำไม? พวกเขาเขียนให้ใครอ่าน?
และเรื่องราวเหล่านั้นได้กลายเป็นประวัติศาสตร์การทหารให้เราศึกษาได้อย่างไร?
ในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์การทหารถูกผลิตขึ้นเป็นสื่อตอบสนองต่อวัตถุประสงค์แตกต่างกันในแต่ละสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเมือง สังคม หรือตัวการทหารเอง
ในอดีตเองก็เป็นเช่นนั้น ซึ่งในช่วงแรกเริ่ม ประวัติศาสตร์การทหารถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์สองประการที่แตกต่างกันดังนี้
ประการแรกคือ
เพื่อเป็นสิ่งบันเทิงในกลุ่มนักรบ
ประวัติศาสตร์การทหารจึงปรากฏในรูปของวรรณกรรมเรื่องเล่าเชิดชูวีรบุรุษ
ซึ่งเริ่มแรกจะเป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดกันปากต่อปาก
ต่อมาเมื่อระบบการเขียนได้รับการคิดค้นขึ้น
จึงมีผู้นำเรื่องเล่านั้นมาบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
ลักษณะการเขียนประวัติศาสตร์เช่นนี้มักปรากฏในสังคมของรัฐที่อ่อนแอหรือแบ่งแยกเป็นนครรัฐเล็ก
ๆ ที่ปกครองโดยชนชั้นนำนักรบ
อีกประการหนึ่งคือ
เพื่อเป็นประโยชน์ในการสั่งสอนผู้อื่นหรือการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐ
ซึ่งจะปรากฏในรูปของบทวิเคราะห์การทำสงครามหรือพงศาวดารของผู้ปกครอง
เพื่อใช้อบรบสั่งสอนผู้สืบทอดอำนาจและประกาศอำนาจอิทธิพลของตนต่อผู้ใต้ปกครอง
ลักษณะการเขียนประวัติศาสตร์นี้มักปรากฏในสังคมของรัฐที่มีอำนาจแข็งแกร่ง
รูปแบบการเขียนประวัติศาสตร์สองแบบนี้มาจากสองภูมิภาคคือ
โลกของกรีก-โรมันและโลกของจีน
ซึ่งทั้งสองรูปแบบต่างยังคงมีอิทธิพลต่อการเขียนประวัติศาสตร์ในโลกยุคปัจจุบันแม้จะผ่านเวลาล่วงเลยมานับพันปี
อย่างไรก็ตาม จากการที่การศึกษาประวัติศาสตร์แบบใหม่เกิดขึ้นและพัฒนาขึ้นในโลกตะวันตก
ทำให้รูปแบบการเขียนประวัติศาสตร์ของกรีก-โรมันได้รับการสืบทอดพัฒนาอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นรูปแบบการเขียนประวัติศาสตร์กระแสหลัก
รวมทั้งสร้างแนวคิดอคติเรื่องยุโรปเป็นศูนย์กลาง
ประวัติศาสตร์การทหารในโลกยุคโบราณ
ในโลกยุคโบราณก่อนที่จะมีการจดบันทึกเรื่องราวในรูปแบบประวัติศาสตร์ เรื่องราวการทหารปรากฏในสองรูปแบบดังนี้
ภาพจารึกฝาผนังในวิหารแห่งหนึ่งในเมืองทีปส์ซึ่งเป็นเรื่องราวของฟาโรห์
ราเมเสสที่ 2 พิชิตป้อมปราการของฮิตไทต์
ราเมเสสที่ 2 พิชิตป้อมปราการของฮิตไทต์
(http://en.wikipedia.org/wiki/File:Ramses_IIs_seger_%C3%B6ver_Chetafolket_och_stormningen_av_Dapur,_Nordisk_
familjebok.png)
familjebok.png)
ภาพเขียนประกอบวรรณกรรมมหาภารตะยุทธของอินเดีย
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/8/81/Kurukshetra.jpg)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/8/81/Kurukshetra.jpg)
รูปแบบแรกคือ “พงศาวดารของกษัตริย์” (Deeds of the king) ซึ่งมีลักษณะเป็นการจดบันทึกเรื่องราวเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่เกียรติยศและอิทธิพลของผู้ปกครองต่อผู้ใต้ปกครองกับอาณาจักรใกล้เคียง
รูปแบบดังกล่าวนี้ปรากฏในรัฐเกือบทุกแห่งที่มีสังคมซับซ้อนและมีการประดิษฐ์ระบบการเขียน
เช่น อียิปต์โบราณ, นครรัฐซูเมอร์ และอาณาจักรจีนโบราณ
เป็นต้น เนื่องจากวัตถุประสงค์ของเรื่องราวคือการเผยแพร่อิทธิพลของผู้ปกครอง
ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า
เนื้อความจะถูกบิดเบือนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครองมากกว่าจะเป็นการบอกเล่าตามความเป็นจริงทั้งหมด
วรรณกรรมมหากาพย์อีเลียดที่เขียนขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5-6
(http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Iliad_VIII_245-253_in_cod_F205,_Milan,_Biblioteca_Ambrosiana,
_late_5c_or_early_6c.jpg)
_late_5c_or_early_6c.jpg)
อีกรูปแบบหนึ่งคือ “เรื่องเล่าจากสงคราม” (War
tale) ซึ่งมีมาก่อนหน้า แต่เป็นเรื่องเล่าแบบปากต่อปากหรือมุขปาฐะ
จึงทำให้เรื่องราวที่สืบทอดมาจนได้รับการจดบันทึกเมื่อมีการประดิษฐ์ระบบการเขียนมีจำนวนน้อย
ตัวอย่างหนึ่งของเรื่องเล่านี้ที่เป็นที่รู้จักก็คือ มหากาพย์อีเลียดของโฮเมอร์
ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นเรื่องเล่าจากสงครามในอดีตที่บอกเล่าสืบทอดต่อ ๆ
กันเป็นเวลานาน และโฮเมอร์คือผู้ที่นำเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาร้อยเรียงกันเป็นเรื่องเดียว
แม้เรื่องราวจะเป็นการบอกเล่าสืบทอดกัน ไม่มีวัตถุประสงค์ที่เจาะจง
ทำให้มีความน่าเชื่อได้ว่าเนื้อความเป็นสิ่งที่บอกเล่าตามความเป็นจริง
แต่การเล่าสืบทอดกันปากต่อปากทำให้เรื่องราวถูกเปลี่ยนแปลงไปตามความเข้าใจของผู้คนในแต่ละกลุ่มและแต่ละช่วงเวลา
รวมทั้งอิทธิพลความคิดความเชื่อในลัทธิ-ศาสนาก็เข้ามามีบทบาทในการแปรเปลี่ยนเรื่องราวบางส่วนให้กลายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรืออิทธิปาฏิหาริย์ของเทพเจ้า
จึงทำให้การแยกข้อเท็จจริงออกมายากลำบากมากกว่ารูปแบบแรกซึ่งสามารถใช้การเทียบเคียงเหตุการณ์ร่วมสมัยจากแหล่งข้อมูลอื่นได้
อย่างไรก็ตาม การเขียนเรื่องราวการทหารรูปแบบหลังนี้ค่อย ๆ
พัฒนาขึ้นกลายเป็นพื้นฐานการเขียนประวัติศาสตร์การทหารที่มีระบบอ้างอิงแหล่งข้อมูลในนครรัฐกรีกช่วงศตวรรษที่
5 ก่อนคริสตกาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น