ประวัติศาสตร์การทหารของอาณาจักรจีน
ในดินแดนทางตะวันออก อารยธรรมจีนเป็นอีกหนึ่งอารยธรรมที่มีการให้ความสำคัญต่อการจดบันทึกเรื่องราว
เนื่องด้วยสภาพภูมิศาสตร์และภูมิอากาศที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปีและมีประชากรหลากหลายชาติพันธุ์
ราชการจีนจึงให้ความสำคัญต่อการจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในเชิงสถิติคาดการณ์ผลผลิตที่จะสามารถเรียกเก็บภาษีได้
และใช้ศึกษาผู้คนในท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อกำหนดนโยบายการปกครอง
แผนที่แสดงอาณาเขตของบรรดาแคว้นต่าง ๆ ในช่วงประมาณ 260 ปีก่อนคริสตกาล
(http://commons.wikimedia.org/wiki/File:EN-WarringStatesAll260BCE.jpg)
ในทางการทหารก็เช่นกัน ชาวจีนให้ความสำคัญต่อการจดบันทึกเรื่องราวการศึกสงครามและนำมาใช้วิเคราะห์การทหาร
การบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์และการทหารได้ริเริ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในยุคสงครามระหว่างแคว้น
(Warring
States period) หรือจ้านกว๋อที่เกิดขึ้นระหว่างปีที่ 474-221 ก่อนคริสตกาล
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แว่นแคว้นและชนเผ่าต่าง ๆ ต่อสู้ระหว่างกัน เพื่อช่วงชิงอำนาจความเป็นใหญ่และการยอมรับจากมวลชนในฐานะผู้อุปถัมภ์องค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจวที่อ้างอำนาจความศักดิ์สิทธิ์จากความเชื่อเรื่องโอรสสวรรค์
(ซึ่งในเวลาต่อมา แว่นแคว้นขนาดใหญ่ที่หลงเหลืออยู่จะพยายามรวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวภายใต้แนวคิดทางการเมืองใหม่ที่โอรสสวรรค์สามารถถูกล้มล้างได้หากไม่สามารถรักษาระเบียบของสังคม)
ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่เกิดการบ่มเพาะภูมิปัญญา เช่น ขงจื้อและสำนักปรัชญาคู่แข่งอื่น
ๆ เพื่อค้นหาหนทางที่จะจัดระเบียบสังคมให้กลมกลืนกับจักรวาลอันจะนำไปสู่การยุติสงครามและนำสังคมกลับคืนสู่ระเบียบดั่งเช่นยุคสงบสุขก่อนหน้า
[1]
ตลอดช่วงยุคสงครามระหว่างแคว้น แว่นแคว้นขนาดเล็กที่อ่อนแอจะถูกผนวกเข้ากับแคว้นขนาดใหญ่ที่เข้มแข็งและมีการจัดการที่ดี
ซึ่งการผนวกดินแดนมิอาจเกิดขึ้นได้หากขาดโครงสร้างการเมืองที่จะเข้ามารองรับกับดินแดนที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นและมีกลุ่มคนหลากหลายมากขึ้น
เงื่อนไขดังกล่าวนี้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองภายในแต่ละแคว้น ซึ่งในอดีตนับตั้งแต่ราชวงศ์ซาง
แว่นแคว้นต่าง ๆ ปกครองด้วยระบอบอภิชนาธิปไตย ชนชั้นสูงนักรบคือกลุ่มคนที่ครอบงำอำนาจทางการเมืองและการทหาร
ขณะที่ผู้ปกครองจากศูนย์กลางเป็นเพียงผู้ได้รับการยอมรับจากมวลชนและบรรดาชนชั้นสูงในแว่นแคว้นต่าง
ๆ ด้วยการอ้างสิทธิธรรมจากอำนาจเหนือธรรมชาติ [2]
การเปลี่ยนแปลงการเมืองที่เกิดขึ้นได้สร้างการปกครองระบอบอัตตาธิปไตยที่เจ้าแคว้นคือผู้เดียวที่ผูกขาดอำนาจทางการเมืองและการทหาร
โดยมีกองทัพที่แปรเปลี่ยนจากการเน้นความสำคัญต่อชนชั้นสูงที่บัญชาการกองทหารม้าศึกและรถม้า
เป็นกองทัพทหารราบขนาดใหญ่ที่บัญชาการโดยแม่ทัพที่รับบัญชาจากเจ้าแคว้นโดยตรง และระบบราชการรองรับการบริหารรัฐที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่
ซึ่งชนชั้นข้าราชการผูกพันกับตำแหน่งที่รัฐมอบหมายและค่อย ๆ กลายเป็นชนชั้นสำคัญในสังคมเมื่อเวลาผ่านไป
ขณะที่ผู้ปกครองแคว้นก็ได้สถาปนาตนเองเป็นผู้ที่รักษาความกลมกลืนแห่งจักรวาลและระเบียบทางการเมือง
ลักษณะดังกล่าวนี้จะปรากฏอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนในสมัยราชวงศ์ฮั่นแม้การรวบรวมแว่นแคว้นเป็นหนึ่งเดียวจะเกิดในสมัยราชวงศ์ฉินก่อนหน้า
ตลอดช่วงเวลาที่แต่ละแว่นแคว้นพยายามรวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียว
งานเขียนวิเคราะห์การทหารได้รับการผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแนวทางการใช้กำลังทหารอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีกลุ่มผู้สนใจเป็นเหล่าผู้ปกครองและขุนศึก และอ้างอิงข้อมูลทางประวัติศาสตร์เป็นตัวอย่างที่ใช้ยืนยันข้อวิเคราะห์เหล่านั้น
แต่ภายหลังจากการรวมดินแดน งานเขียนทางประวัติศาสตร์ได้แยกตัวออกจากงานเขียนทางทหารและกลายเป็นประวัติศาสตร์ราชวงศ์ของราชสำนักส่วนกลาง
ซึ่งบทบาทของประวัติศาสตร์การทหารที่มีต่องานเขียนวิเคราะห์การทหารและประวัติศาสตร์ราชวงศ์ได้แสดงถึงความเหมือนและความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับงานเขียนประวัติศาสตร์การทหารของกรีก-โรมัน
ตำราพิชัยสงครามของซุนวูฉบับคัดลอกสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
(http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Bamboo_book_-_binding_-_UCR.jpg)
งานเขียนทางการทหารของจีนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
มีต้นฉบับสมบูรณ์ที่สุด และมักอ้างอิงถึงบ่อยครั้งในปัจจุบัน คือ “กฎการทหารของอาจารย์ซุน”
(孫子兵法) [3] หรือที่รู้จักทั่วว่า
“ตำราพิชัยสงคราม” (The Art of War) ของซุนวู
(Sun Tzu - 孫子) แม่ทัพและนักยุทธศาสตร์การทหารยุคชุนชิว
(Spring and Autumn period – ประมาณปีที่ 771-476 ก่อนคริสตกาล)
ตำราพิชัยสงครามของเขาเป็นคู่มือการทหารที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับหลักยุทธศาสตร์,
ยุทธวิธี และแนะนำวิธีการฝึกฝนทหาร ซึ่งลักษณะเนื้อหาของซุนวูสามารถเทียบได้กับคู่มือการทหารของเวเกติอุสและงานเขียนแบบเดียวกันในอารยธรรมกรีก-โรมัน
แต่ตำราพิชัยสงครามของซุนวูใช้ตัวอย่างจำนวนมากจากประวัติศาสตร์จีนในการแสดงหลักการของเขา
อีกทั้งซุนวูมุ่งให้ความสำคัญกับบทบาทของแม่ทัพที่มีความฉลาดเฉลียวในการนำกองทัพไปสู่ชัยชนะ
ซึ่งลักษณะนี้คล้ายคลึงกับงานเขียนของจูเลียส ซีซาร์ที่ยกย่องตนเองในฐานะแม่ทัพที่มีความสามารถนำกองทัพโรมันไปสู่ชัยชนะ
แต่กระนั้น ความเฉลียวฉลาดที่ซุนวูกล่าวถึงเป็นสิ่งที่เกิดจากการเรียนรู้หลักการที่เขาได้วางเอาไว้
มิใช่เกิดจากสัญชาตญาณอย่างที่ซีซาร์กล่าวเพื่อยกย่องตนเอง นอกจากนี้ ในเรื่องมุมมองที่มีต่อทหาร
ซุนวูมิได้ให้ความสำคัญใด ๆ ต่อบุคลากรที่ทำหน้าที่ดำเนินการตามแผนที่แม่ทัพวาง และยังมองว่า
ความคิดริเริ่มของทหารใต้บัญชาเป็นสิ่งที่บ่อนทำลายอำนาจการบัญชาการกองทัพของแม่ทัพ
ต่างจากมุมมองของซีซาร์ที่แม้ทหารจะเพียงหุ่นที่ปฏิบัติตามคำสั่งของแม่ทัพ แต่ผู้ที่ต่อสู้เยี่ยงวีรบุรุษก็สมควรได้รับการยกย่อง
และความคิดริเริ่มของทหารในบัญชาก็เป็นสิ่งที่บ่งชี้ความสามารถของแม่ทัพ
มุมมองของซุนวูที่มีต่อทหารนี้แสดงถึงการพัฒนาแนวคิดการเมืองในดินแดนจีนที่มุ่งไปสู่การปกครองแบบอัตตาธิปไตย
ด้วยความมุ่งหมายของราชวงศ์ ณ ศูนย์กลางอำนาจที่ต้องการทำลายการคุกคามจากอิทธิพลของชนชั้นสูง
จึงนำไปสู่การทำลายพื้นฐานของสังคมนักรบที่ก่อร่างโดยชนชั้นสูงนักรบในอดีต และการลดความสำคัญของปฏิบัติการทางทหารจากสิ่งแสดงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเหลือเพียงการเป็นเครื่องมือของรัฐ
ซึ่งนำไปสู่การสร้างวรรณกรรมที่ต่อต้านการทหารในสมัยต่อมาและกลายเป็นกระแสการเขียนประวัติศาสตร์กระแสหลักของอารยธรรมจีน
บันทึกของนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของซือหม่า เฉียน อันเป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่เป็นระบบชิ้นแรกของประวัติศาสตร์จีน
(http://www.mildchina.com/history-culture/simaqian.html)
(http://www.mildchina.com/history-culture/simaqian.html)
งานเขียนที่ต่อต้านคุณค่าทางทหารดังกล่าวได้ริเริ่มสร้างสรรค์ขึ้นโดยวรรณกรรมเรื่อง
“บันทึกของนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่” (太史公書) [4] ที่เขียนโดยซือหม่า
เฉียน (Sima Qian -司馬遷) นักประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ฮั่นผู้เป็นบิดาแห่งการเขียนประวัติศาสตร์จีน
ซึ่งจากการเป็นนักประวัติศาสตร์ของราชสำนัก และงานเขียนมีลักษณะเป็นการวิเคราะห์ด้วยเหตุผลและใช้วิธีการสืบค้นเทียบเคียงแหล่งข้อมูล
ทำให้งานเขียนของเขาเทียบเคียงได้กับงานเขียนของธูซิดิเดส
จากมุมมองของซือหม่า เฉียนที่มองประวัติศาสตร์เป็นเรื่องทางศีลธรรมและวาทกรรม
เขาจึงเขียนประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ก่อนหน้าในลักษณะที่นำไปใช้สร้างความชอบธรรมให้แก่ราชวงศ์ฮั่น และนำเรื่องหลักคิดของลัทธิขงจื้อในเรื่องมนุษยธรรม ลักษณะของรัฐบาลที่ดี
และการรักษาสันติภาพมาใช้ลดคุณค่าแนวคิดวีรบุรุษนักรบ แม้เนื้อหาในงานเขียนของซือหม่า
เฉียนจะมีกล่าวถึงเรื่องทางการทหาร แต่เขาจะมุ่งเน้นทางเลือกของยุทธศาสตร์ในการจัดการความขัดแย้งและบทเรียนจากสงครามในทางการเมืองและศีลธรรม
มากกว่าจะเน้นการบรรยายถึงการสงครามและยุทธวิธี รวมทั้งไม่กล่าวถึงความรุ่งเรืองหรือชื่อเสียงจากสมรภูมิ
เพราะซือหม่า เฉียนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องและเป็นอันตรายต่อรัฐ เพราะจะเป็นการสนับสนุนให้ขุนศึกได้รับการยอมรับและขึ้นมามีอิทธิพลทางการเมืองท้าทายผู้ปกครองในราชวงศ์ อันจะนำไปสู่ความแตกแยกและสงคราม
รูปแบบการเขียนประวัติศาสตร์ของซือหม่า
เฉียนนี้ได้กลายเป็นรูปแบบมาตรฐานที่นักประวัติศาสตร์จีนในยุคต่อ ๆ มาจะใช้ในการเขียนประวัติศาสตร์
โดยมุ่งให้ความสำคัญยังผลลัพธ์ท้ายสุด นั่นคือ ความสามารถในการปกครองรัฐที่พิชิตได้ มิใช่ความสามารถในการพิชิตอาณาจักร
ซึ่งได้กลายเป็นกรอบศีลธรรมการปกครองว่า “การพิชิตอาณาจักรจากบนหลังม้าหาใช่จะปกครองจากบนอานม้าได้”
[5] จึงส่งผลให้เนื้อหาประวัติศาสตร์การทหารของจีนมีรายละเอียดน้อยแม้อาณาจักรจีนจะมีการจัดองค์กรทางทหารที่อาจจะดีกว่าองค์กรทางทหารของกรีกและโรมัน
[1] Stephen Morillo and Michael F.
Pavkovic. What is Military History? (Polity Press, 2014),
p. 19
[2] Stephen Morillo. Frameworks of World
History (Combined Volume). (Oxford University Press,
2014), p. 77
[3] http://en.wikipedia.org/wiki/The_Art_of_War
[4] http://en.wikipedia.org/wiki/Records_of_the_Grand_Historian
[5] Stephen
Morillo and Michael F. Pavkovic. What is Military History?, p. 21
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น