วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

การเขียนประวัติศาสตร์การทหาร (2) : กรีกโบราณ



ประวัติศาสตร์การทหารของกรีกโบราณ

ประวัติศาสตร์ถือกำเนิดขึ้นในอารยธรรมกรีกในฐานะของการจดบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับโลก และเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาที่เติบโตขึ้นในนครรัฐเอเธนส์ช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลเช่นเดียวกับปรัชญาและการเมือง ชาวกรีกมองว่า ประวัติศาสตร์เป็นวิธีการหาสาเหตุของเหตุการณ์ในปัจจุบัน และเป็นเนื้อหาสำหรับนำมาใช้สร้างบทกวี บทละคร และปรัชญา ซึ่งเนื้อหาของประวัติศาสตร์ที่ชาวกรีกบันทึกได้สะท้อนถึงการเมืองที่แบ่งแยกออกเป็นนครรัฐมากมาย และแต่ละนครรัฐต่างต่อสู้กันเองระหว่างกันไม่จบสิ้น แม้จะมีการรวมกลุ่มกันต่อต้านการรุกรานจากเปอร์เซียในช่วง 490-481 ปีก่อนคริตกาล แต่ก็เป็นการร่วมเป็นพันธมิตรระหว่างกันชั่วคราว มิใช่การรวมกันจัดตั้งเป็นรัฐเดี่ยวที่มีอำนาจปกครองเต็มที่


จากการที่เอเธนส์เป็นนครรัฐหลักที่มีการเฟื่องฟูทางประวัติศาสตร์ ทำให้เอเธนส์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเขียนประวัติศาสตร์ด้วยการเมืองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์และการเป็นจักรวรรดินาวีในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ซึ่งการเมืองของเอเธนส์เป็นการการถกเถียงเพื่อนำไปสู่กระบวนการตัดสินใจ โดยผู้มีส่วนร่วมเป็นกองทหารฮอบไลต์ซึ่งเป็นพลเมืองเจ้าของที่ดินที่มั่งคั่ง กับกองทหารนาวีไตรรีมซึ่งเป็นพลเมืองยาจกไร้ที่ดิน ข้อมูลประวัติศาสตร์สงครามในอดีตที่จดบันทึกไว้อย่างงานของเฮโรโดตุส (Herodotus) และข้อมูลร่วมสมัยจากงานของธูซิดิเดส (Thucydides) ก็จะเป็นฐานข้อมูลความรู้ให้ผู้ที่อยู่ในที่ประชุมใช้ถกเถียงและลงคะแนนเสียงตัดสินใจในเรื่องดำเนินการทูต การวางยุทธศาสตร์ จริยธรรมในการทำสงคราม รวมทั้งกระบวนการดำเนินสงครามอย่างเป็นประชาธิปไตย แม้ภายหลังจากความพ่ายแพ้ของนครรัฐเอเธนส์ในสงครามเพโลปอนเนเซี่ยนช่วงปลายศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล กระบวนการนี้ยังคงดำเนินไปแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เนื่องจากการเพิ่มจำนวนทหารรับจ้างเข้ามาแทนที่นักรบชาวกรีกตั้งแต่ช่วงระหว่างสงครามเพโลปอนเนเซี่ยนและหลังสงคราม ซึ่งประสบการณ์ชีวิตของทหารรับจ้างได้กลายเป็นข้อมูลพื้นฐานของบันทึกความทรงจำและบทวิเคราะห์การสงครามของเซโนฟอน (Xenophon) และนักเขียนคนอื่น ๆ ในสมัยเดียวกัน

จากที่ได้กล่าวมาจะเห็นว่า ในช่วงแรกของศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล บุคคลสำคัญที่เป็นแกนนำหลักของการเขียนประวัติศาสตร์สมัยกรีกคือ เฮโรโดตุสและธูซิดิเดส ซึ่งแม้ สงครามจะเป็นหัวข้อที่ทั้งสองเลือกมาใส่ในงานเขียน แต่สองบุคคลนี้มีมุมมองต่อการเขียนประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน


เฮโรโดตุสเขียนประวัติศาสตร์สงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซียในงานเขียน ประวัติศาสตร์” (The Histories) เพื่อ แสดงถึงที่มาที่ไปว่า สงคราม [ระหว่างชาวกรีกและเปอร์เซีย] เกิดขึ้นได้อย่างไร” [1] เนื้อหาที่เขาเขียนแสดงถึงกลุ่มคนหลักที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงคราม คือ กรีกกับเปอร์เซีย และกลุ่มอื่นที่เกี่ยวข้องในฐานะผู้ใต้ปกครองและผู้ต่อต้านเปอร์เซีย โดยให้ข้อมูลในเชิงชาติพันธุ์และมานุษยวิทยาจากการวิเคราะห์ภูมิศาสตร์และภูมิอากาศในถิ่นกำเนิดของแต่ละกลุ่ม อีกทั้งยังพิจารณาถึงบทกวีและวรรณกรรมทั้งที่เป็นมุขปาฐะและที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเข้าใจถึงคุณลักษณะของแต่ละชาติพันธุ์และแรงจูงใจในการเข้าร่วมสงคราม อย่างไรก็ตาม แม้เฮโรโดตุสจะอ้างอิงที่มาของเรื่องเล่าและบทกวี ต่างจากธูซิดิเดสที่มิได้อ้างอิงที่มาของเอกสารใด ๆ ในงานของตน แต่จากการวิเคราะห์ที่ไม่มีลักษณะที่เป็น ศาสตร์และแหล่งข้อมูลที่เฮโรโดตุสรวบรวมจากผู้ที่ไม่ใช่นักรบ ทำให้งานของเฮโรโดตุสถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความน่าเชื่อถือเมื่อเปรียบเทียบกับงานของธูซิดิเดส




ส่วนธูซิดิเดสนั้นเขียนประวัติศาสตร์สงครามเพโลปอนเนเชี่ยน (History of Peloponnesian War) โดยเชื่อว่า สงครามครั้งนี้จะเป็นสงครามครั้งที่ยิ่งใหญ่ควรค่าแก่การจดบันทึกมากกว่าครั้งก่อน ๆ ในอดีตที่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่” [2] เนื้อหาที่เขาเขียนจะเป็นการวิเคราะห์โดยอาศัยกรอบการเมือง และไม่เชื่อถือข้อมูลที่เป็นบทกวีหรือปกรนัม หากแต่ใช้รายงานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หรือผู้เห็นเหตุการณ์ และใช้การตรวจสอบเทียบเคียงระหว่างกัน เพื่อให้ได้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงมากที่สุด รวมทั้งการวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างยุทธศาสตร์กับจุดมุ่งหมายทางการเมืองและทรัพยากรที่มีอยู่, ทางเลือกทางศีลธรรมส่วนบุคคลกับรัฐ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิทยาส่วนบุคคลต่อการขับเคลื่อนสงคราม ซึ่งการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการสงครามและการเมืองนี้ต่อมาได้กลายเป็นพื้นฐานของการศึกษาประวัติศาสตร์การทหารในศตวรรษที่ 19


แม้เซโนฟอนจะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์การทหารกลุ่มรอง แต่ก็เป็นบุคคลสำคัญที่สืบทอดรูปแบบการเขียนประวัติศาสตร์การทหารของธูซิดิเดสและพัฒนาไปสู่งานเขียนที่เป็นบันทึกความทรงจำและบทวิเคราะห์สงครามในงาน Anabasis ของเขา ซึ่งเซโนฟอนเขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่เขาเข้าร่วมกับเป็นกองทหารรับจ้างชาวกรีกที่รับจ้างต่อสู้ในเปอร์เซีย, ธราซ และสปาร์ตา รวมทั้งคู่มือทางทหารจำนวนสองเล่มคือ คู่มือการดูแลและฝึกฝนม้า (Peri hippikes) กับคู่มือผู้บัญชาการทหารม้า (Hipparchikos) ซึ่งทั้งสองเล่มนี้เป็นไปได้ว่า เซโนฟอนเขียนขึ้นเพื่อใช้สอนลูกชายซึ่งเป็นทหารม้า และอาจจะให้ลูกนำไปใช้สอนลูกหลานในอนาคต

งานเขียนของเซโนฟอนได้สะท้อนให้เห็นถึงการเมืองในภูมิภาคกรีกที่เปลี่ยนแปลงไปหลังสงครามเพโลปอนเนเชี่ยน นครรัฐกรีกแต่ละแห่งอ่อนแอลงจากสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างกันและโรคระบาด โดยเฉพาะสองนครรัฐสำคัญคือ เอเธนส์และสปาร์ต้า ภายใต้ระบบกองทหารฮอปไลต์ซึ่งเป็นกองทหารกึ่งพลเมืองที่จะเรียกเกณฑ์มาจัดทัพเฉพาะเมื่อเกิดสงคราม สงครามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและโรคระบาดส่งผลให้กองทัพไม่สามารถเรียกเกณฑ์กำลังจากพลเมืองในรัฐได้เพียงพอ นครรัฐแต่ละแห่งจึงพยายามแก้ปัญหาด้วยการเกณฑ์กำลังพลจากทหารรับจ้างมากขึ้นทดแทนพลเรือนของตน

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันแย่งชิงความเป็นใหญ่ในคาบสมุทรกรีกก็ยุติลงเมื่อทศวรรษที่ 330 ก่อนคริสตกาล นครรัฐมาซิโดเนียได้ขึ้นมามีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคแห่งนี้และควบรวมบรรดานครรัฐกรีกให้อยู่ภายใต้อำนาจ นำมาซึ่งการเปลี่ยนยุคสมัยจากยุคคลาสสิคเข้าสู่สมัยเฮเลนนิสติก ซึ่งเป็นยุคที่วัฒนธรรมกรีกแพร่ออกจากภูมิภาคดั้งเดิมไปสู่ดินแดนอื่น ๆ ตามเส้นทางการพิชิตอาณาจักรของอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย แม้ภายหลังอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ลงและอาณาจักรที่พระองค์พิชิตได้ต่างแข่งขันแย่งชิงอำนาจกันเอง แต่ความสำเร็จของมาซิโดเนียและอเล็กซานเดอร์ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เหล่าแม่ทัพและกษัตริย์ในอาณาจักรต่าง ๆ พยายามเลียนแบบ นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ทั้งทางการเมือง, การทหาร, สังคม และการเขียนวรรณกรรมการทหาร

 รูปขบวนของกองแหลน "เปเซไทรอย" (Pezhetairoi) หรือ "สหายทหารราบ" (Foot companions) อันเป็นสันหลังหลักของกองทัพมาซิโดเนีย ซึ่งใช้แหลนยาวประมาณ 6-7 เมตรสร้างข้อได้เปรียบในการต่อสู้กับกองทหารฮอปไลต์ดั้งเดิมที่ใช้หอกยาวเพียงประมาณ 3 เมตร

ความสำเร็จของมาซิโดเนียนี้มิได้เกิดขึ้นในสมัยอเล็กซานเดอร์ หากแต่เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่สมัยกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 พระราชบิดาของพระองค์ ซึ่งแต่เดิมกองทัพของมาซิโดเนียเองก็มิได้ผิดแผงแตกต่างไปจากกองทัพฮอปไลต์ของนครรัฐกรีกอื่น ๆ จนกระทั่งกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ปฏิรูปกองทัพฮอปไลต์ทั้งระบบ ให้กองทหารฮอปไลต์เป็นกองทหารอาชีพประจำการแทนที่กองทหารกึ่งพลเรือน ปรับใช้อาวุธและยุทธวิธีให้สร้างความได้เปรียบต่อข้าศึกมากที่สุด และใช้ยุทธศาสตร์แบ่งแยกพันธมิตรนครรัฐกรีกและเข้าพิชิตแต่ละนครรัฐ จนท้ายที่สุด ราชอาณาจักรมาซิโดเนียขึ้นมามีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคและเป็นผู้นำจัดตั้งสันนิบาตชาวกรีก (โดยที่นครรัฐสปาร์ต้าไม่เข้าร่วม) ขึ้นต่อต้านการรุกรานของจักรวรรดิเปอร์เซีย ภายหลังที่กษัตริย์ฟิลิปถูกลอบปลงพระชนม์ เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ก็สืบทอดเจตนารมณ์ต่อและนำกองทัพเข้าพิชิตเปอร์เซียได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เมื่อกองทัพต้องเผชิญกับรูปแบบการรบที่ไม่คุ้นเคยในอาณาจักรทางตะวันออกที่ห่างไกล เช่น ทหารม้าพลธนูของไซเธี่ยนและกองทัพช้างศึกของอินเดีย กองทัพของอเล็กซานเดอร์ก็ประสบปัญหาทางการรบ แต่ก็สามารถปรับตัวตอบโต้ต่อฝ่ายตรงข้ามจนได้รับชัยชนะ และภายหลังจากอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ ขุนศึกแม่ทัพที่ติดตามร่วมรบกับอเล็กซานเดอร์ก็รับเอารูปแบบกองทัพของพระองค์และการประยุกต์ใช้การสงครามในแต่ละท้องถิ่นมาเสริมสร้างความแข็งแกร่ง รวมถึงการอ้างสิทธิ์สืบทอดอำนาจและความยิ่งใหญ่ของอเล็กซานเดอร์ นำมาซึ่งการสร้างกองทัพที่แสดงภาพลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ เช่น การใช้ช้างศึกและเรือรบขนาดใหญ่ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการสร้างลัทธิบูชาบุคคลในราชวงศ์ตอบสนองระบอบการเมืองยุคเฮเลนนิสติกที่ชนชั้นนำที่ได้รับการศึกษาเป็นผู้กุมอำนาจปกครองรัฐแบบรวมศูนย์แทนที่การปกครองที่พลเมืองในท้องถิ่นมีส่วนร่วมแบบนครรัฐดั้งเดิม



 ภาพกษัตริย์เดเมทริออสแห่งราชอาณาจักรบัคเตรียซึ่งสวมหัวช้างบนศีรษะ ซึ่งช้างถือเป็นสัตว์แสดงถึงความยิ่งใหญ่ในสมัยเฮเลนนิสติก ผู้ที่พิชิตช้างได้จึงถือว่าเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ และการแสดงออกถึงการพิชิตคือ การนำหัวของช้างมาสวมบนศีรษะของตนเฉกเช่นเดียวกันเฮอร์คิวลิสที่ถลกเอาหัวและหนังสิงโตเนเมี่ยนมาสวมบนศีรษะ
(http://www.beastcoins.com/Bactria-IndoScythian/Bactrian.htm)

การเขียนวรรณกรรมการทหารก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกองทัพเป็นทหารอาชีพ ทำให้เกิดความจำเป็นที่ต้องมีเครื่องมือสำหรับการฝึกฝนทหารอย่างเป็นระบบและเป็นมาตรฐานเดียวกัน วรรณกรรมการทหารจึงปรากฏในรูปของคู่มือการฝึกฝน, การจัดการโครงสร้างกองทัพ, ยุทธวิธีการรบ และการวิเคราะห์การสงครามที่ผ่านมา แต่กระนั้น ภายหลังจากที่เหล่าขุนศึกของอเล็กซานเดอร์สามารถสถาปนาอำนาจของตนเองได้มั่นคง วรรณกรรมการทหารก็แปรเปลี่ยนไปเป็นพงศาวดารของกษัตริย์และบันทึกชีวประวัติของขุนศึกคนสำคัญ เพื่อเชิดชูความยิ่งใหญ่ของผู้ปกครอง แม้จะมีการกล่าวถึงรายละเอียดการสงคราม แต่มักมีเนื้อความและสำนวนที่เป็นรูปแบบตายตัว อีกทั้งมีเนื้อหาที่เน้นการเมืองและกลอุบายในราชสำนักมากกว่าจะเป็นการวิเคราะห์การสงคราม ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่า กลุ่มผู้สนใจเปลี่ยนจากนักรบขุนศึกไปเป็นชนชั้นนำในราชสำนัก และจำกัดการเข้าถึงแค่เพียงเฉพาะในชนชั้น จึงทำให้เอกสารชั้นต้นสมัยเฮเลนนิสติกเหล่านี้หลงเหลือมาถึงปัจจุบันน้อยมา 

อย่างไรก็ตาม เอกสารชั้นต้นเหล่านั้นได้รับการศึกษาโดยชาวโรมันซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมกรีกสมัยเฮเลนนิสติก แม้ตัวเอกสารของโรมันจะกล่าวถึงเอกสารสมัยเฮเลนนิสติกในลักษณะบทสรุปความโดยรวม แต่ก็มีส่วนทำให้ประวัติศาสตร์สมัยเฮเลนนิสติกไม่ขาดช่วงหายไปและสืบทอดต่อกับสมัยโรมัน จึงอาจกล่าวได้ว่า ชาวโรมันคือผู้ที่สืบทอดโลกเฮเลนนิสติกของชาวกรีก


[1] Herodotus. The Histories, translated by A. de Selencourt (Penguin, 1954), p. 41
[2] Thucydides. History of Peloponnesian War, translated by Rex Warner (penguin, 1954), p. 35

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น